วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เจจู เที่ยวเองก็ได้ ขับรถเที่ยวเจจู สามคืน สี่วัน

ก่อนอ่านไปดูวิดิโอกันดีก่อนดีกว่าค่ะ จิ้ม

เกาะเจจู เป็นเกาะพักผ่อนเกาะนึงของเกาหลีที่ดังมากๆ ถ้าเปลี่ยน ก็อาจจะเปรียบได้กับเกาะภูเก็ตของบ้านเรา? (น่าจะนะ)

เห็นทัวร์เที่ยวเกาหลี เที่ยวเจจูกันเยอะมาก และถูกมาก อยู่ที่คนล่ะไม่ถึงหมื่นก็มี หมื่นต้นๆก็มี เพราะถ้าเสริชแค่ตั๋วเครื่องบินอย่างเดียวก็เกินหมื่นแล้ว ในฐานะที่มาเรียนที่เกาหลี ก็ไม่อยากให้เสียโอกาศไปเที่ยวเจจูโดยที่ไม่ต้องนั่งเครื่องจากไทยมาเลยแล้วกัน

ทริปนี้ขอเรียกเป็นทริปผ่อนคลาย เพราะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน เป็นทริปหลังจากสอบเสร็จพอดี แล้วไปเลย ค่าตั๋วเครื่องบินเลยไม่ได้แพงมาก และค่าโรงแรมก็เช่นกัน เพราะหลังจากทริปนี้สองอาทิตย์ เป็นวันหยุดยาวของเกาหลี ซึ่งคนก็แห่มาเที่ยวกันบานเลยล่ะค่ะ

วันแรก
เราสอบเสร็จบ่ายสอง ขึ้นเครื่องมาเจจูตอนบ่ายสี่ ถึงเจจูประมาณห้าโมงครึ่งค่ะ จากโซล สนามบินกิมโปใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงกับอีก สิบห้านาที


นั่งยังไม่ทันหายเมื่อยก้นเลย ดูเมฆไปพลางๆ อ้าวถึงแล้ว



หลังจากเครื่องลงเราก็ไปที่เกตห้าค่ะ ไม่ได้รอกระเป๋าเพราะไม่ได้โหลดไป
ที่เกตห้าจะมีพวกบริษัทเช่ารถมากมายให้เลือก ราคาไม่ต่างกันมากนักแล้วแต่ยี่ห้อรถ
แต่ว่าถ้าจะให้ถูกก็คือจองผ่านเน็ตมาก่อนค่ะ นี่ก็จองผ่านเน็ตกันมาก่อนแล้วมารับรถ ได้ส่วนลดอีกมากมายเลยค่ะ แต่ถ้าถามว่าจองยังไงนี่ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะเพื่อนเป็นคนจอง แห่ะๆ



รับรถแล้วอย่าลืมตรวจสภาพรถให้เรียบร้อยก่อนขับออกไปนะคะ
เช็คทุกอย่างว่าใช้ได้ไหม แอร์ เครื่องเสียง
ร่องรอยการชน เบียด สี ที่เขามีมาอยู่แล้ว ถ่ายเอาไว้ให้หมดก่อนรับรถค่ะ (เป็นหลักฐานว่าเราไม่ได้ทำนะ)

วันแรกมาถึงเหนื่อยๆ ก็ขับรถดูวิวข้างทางไปค่ะ ขับลัดเลาะชายฝั่งไป สวยไม่เบาเลยทีเดียว



จอดรถหาข้าวกินเสร็จแล้วก็เข้าที่พักค่ะ ที่พักเป็นเพ้นส์เฮ้าส์ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของเป็นคนเกาหลี
คนเกาหลีก็นิยมพักแบบนี้กัน เพราะมันถูกกว่าโรงแรม และก็เป็นส่วนตัว แถมยังทำครัวได้ด้วยค่ะ


นี่คือหน้าตาของเพ้นเฮ้าส์ที่เราไปพักค่ะ น่ารักไหม 


วันต่อมาไปดูหมู่บ้านโบราณ
และก็ไปอูโดค่ะ



จะบอกว่าอูโดเนี่ย เป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลยนะคะ เพราะชอบมาก เป็นเกาะเล็กๆที่นั่งเรือไปไม่กี่นาที
พอไปถึงก็จะมีรถจักรยาน จักรยานไฟฟ้า สามล้อไฟฟ้าให้เช่า น่ารักมากๆเลยแหล่ะค่ะ






ขี่รอบเกาะใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ระหว่างทางหยุดถ่ายรูปก็ปาเข้าไปเกือบสองชั่วโมงแล้วแหล่ะค่ะ



อูโดเป็นอะไรที่สวยมากๆเลย นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักกันแล้วก็ ทัวร์ไทยไม่พาไปด้วยแหล่ะค่ะ
หลังจากกลับมาจากอูโดแล้วมีเวลาเหลือ เราก็ไปปีนเขากันต่อค่ะ

กว่าจะขึ้นไปถึงต้องมีชั่วโมงกว่า แต่วิวข้างบนสวยคุ้มค่าจริงๆค่ะ


แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว กลับที่พักไปผักผ่อนกันดีกว่า

วันที่สามฝนตกค่ะ แต่อากาศแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบนึง เพราะเย็นสบายมากเลยค่ะ ไม่ค่อยร้อน
ขับรถไปถ่ายรูป ชมวิว แล้วก็วิ่งขึ้นรถหลบฝน
ถือร่มไปชิวๆ อากาศเย็นสบายไม่ร้อนแบบเมื่อวาน



พอตกเย็นก็ไปชิม หมูดำค่ะ ที่เจจูหมูดำถือว่าขึ้นชื่อมากเลยนะคะ
ใครไปต้องลองค่ะ 흑돼지

ส่วนวันสุดท้ายแวะไปเดินตลาดซื้อช็อคโกแลตเป็นของฝากค่ะ
เห็นเพื่อนบอกใครไปเจจูส่วนใหญ่ก็จะซื้อช็อกโกแลตมาฝากกันทั้งนั้น
มีทั้งแบบถูกและแพง เช่น ห้ากล่องหมื่นวอน หกกล่องหมื่นวอน แล้วแต่คุณภาพค่ะ




โดนรวมคือเจจูเป็นอะไรที่สวยงามมากๆเลยค่ะ ไปแล้วก็ยังอยากจะไปอีก
ถ้ามีโอกาสลองไปกันดูนะคะ 
^^

July 29 2016




วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

My first month in Korea :) เรียนที่เกาหลี เดือนแรก

ก่อนอื่นขอบอกเลยว่าไม่ได้เป็นคนขยันเขียนบล็อคขนาดนั้น จะอัพเฉพาะท่ีคิดว่ามีประโยชน์ คนเสริชเจอ แล้วได้อ่านได้ใช้ หรืออะไรที่ประทับใจเรามากๆก็เท่านั้น ถึงจะเป็นบล็อคเล็กๆ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่ามีคนตามอ่านด้วย (ขอบคุณมากนะคะ) หลายคนถึงกับแอดไลน์มาคุยด้วยเป็นเรื่องเป็นราว ตอบได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ บางทีว่าง หรือไม่ว่าง ไม่สะดวกตอบก็อาจจะไม่ได้ตอบ แต่จะพยายามตอบให้ได้เยอะที่สุดค่ะ (เพราะไลน์ลูกค้าก็เยอะ ตอบไม่ทัน แห่ะๆ)

สำหรับโพสต์นี้ขอเป็นรีวิวรวมๆ ตั้งแต่มาอยู่เกาหลีเดือนกว่าๆ มีหลายเรื่องที่ประทับใจ ตกใจก็มีไม่น้อย ถึงแม้จะดูซีรีย์ หรือเคยติ่งมาแล้วก็ตาม 



ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า มาเที่ยวเฉยๆ กับมาอยู่จริงๆมันต่างกันมากๆ ใครมาเที่ยวบ่อยๆ เจอประสบการณ์ดีไม่ดีต่างกันไปก็แล้วแต่จะประทับใจ แต่การมาอยู่คือ เราเจออะไรดีไม่ดี คือเราต้องทำใจและยอมรับ 

อืม
ประเทศเขานะ สังคมเขานะ 
เป็นแบบนี้นะ 
ซึ่งไปอยู่มาก็สองสามประเทศ ไม่ได้เหมือนกันสักที่ แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือเราต้องปรับตัวค่ะ

Culture Shock...
มีแบบไม่ต้องสงสัย ถึงจะเป็นประเทศที่เป็นเอเชียเหมือนกัน แต่เราไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน
ขนาดคนจังหวัดอื่นมาทำงานมาเรียนในกทม.ยังคิดถึงบ้านเกิดเลย
 นับประสาอะไรกับต่างประเทศกันเนอะ



ยิ่งถ้ายังพูดภาษาเขาไม่ได้ยิ่งลำบากกันใหญ่ โอเคยอมรับว่าบางทีมันก็สนุกแหล่ะค่ะ แต่ลำบากน่ะมี 
ไม่น้อยเลยด้วย ก็ต้องปรับตัวกันไป อย่างที่บอก ไม่มีอะไรดีไปซะทุกอย่าง

แต่..มันก็ไม่ได้น่ากลัวไปซะทุกอย่าง อาจจะลำบากบ้างเล็กน้อย แต่เป็นประสบการณืที่ดีเลยแหล่ะค่ะ

เรื่องชีวิตไปบ้างแล้ว เรื่องเรียนบ้างดีกว่า อิอิ

เรื่องเรียนนั้น เรามาเรียนที่ซอกังค่ะ สอบมิดเทอมไปแล้ว อีกสองถึงสามอาทิตย์สอบไฟนอล 
เวลาผ่านไปเร็วมาก ยังจำวันแรกที่มาแล้วเจอculture shockอยู่เลย

จนถึงทุกวันนี้ก็แทบไม่ได้คุยกับคนที่ที่โรงเรียนเลย 
เรามาเองเราก็มีเพื่อนของเรา เรามานี่เราก็มีเพื่อนใหม่
บางทีเดินผ่านยังไม่รู้เลยค่ะว่าเป็นคนไทย 
แต่ด้วยความที่ยุ่งมากขนาดกับเพื่อนตัวเองยังไม่มีเวลาออกไปเที่ยวด้วยกันเลย กับเพื่อนคนไทยคนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งไม่รู้จักอยู่แล้วด้วย 



เรื่องเรียนอื่นๆในคลาสก็ไม่มีอะไรยากค่ะ เรียนสี่ชั่วโมง แต่พักซะชั่วโมง 
เรียนเน้นพูด คลาสสนุกสนาน 
เคยเข้าห้องเรียนคลาสๆแบบนี้ที่ประเทศจีนมาสองมหาวิทยาลัย คลาสก็ไม่ได้สนุกเท่านี้
หวังว่าจบที่นี่ไปแล้ว ไปสอนเด็กๆคงทำให้คลาสสนุกได้แบบนี้นะคะ :D

อ่อ แล้วก็ ก่อนมาเรามีพื้นฐานมาแล้วเกือบครึ่งปี หลายแกรมม่าหลายคำศัพท์ที่เราเรียนมาแล้ว
รู้เรื่องแล้ว แต่ตอนสอบวัดระดับ คือวันที่เราเพิ่งลงเครื่องมา ทั้งมึนทั้งเอ๋อเลยแหล่ะ
เลยไมได้เขียนอะไรไปมากมาย สรุปคือโดนจับเข้าเลเวลหนึ่ง ซึ่งตอนแรกก็แอบเฟลค่ะ

แต่พอเรียนๆไป แล้วมันเหมือนทบทวนที่เรารู้อยู่แล้ว หลายคนในห้องคือพูดได้เก่งกว่าเราอีก 
เขาก็ยังอยู่เลเวลนี้ แลกๆแอบยาก (สำหรับห้องเรา) เพราะเขาพูดกับรู้เรื่องจริงจัง 
นี่ในใจคิดว่าเลเวลหนึ่งจริงหรอ 
แต่พอไปคุยกับเพื่อนเลเวลหนึ่งห้องอื่นนี่รู้เลยค่ะ ว่าเลเวลหนึ่งเขาก็มีอีกหลายระดับ 
เรียนเล่มเดียวกัน แต่ความยากง่ายต่างกัน ครูสอนต่างกัน 
ที่ผ่านมาเราเรียนภาษาจีนแบบเร่งรีบมาโดยตลอด ซึ่งมันทำให้พื้นฐานไม่แน่น
การเรียนแบบนี้มันดีนะคะ ทำให้เราเขียนเราพูดอะไรได้อย่างมั่นใจมากขึ้น


แถมที่โรงเรียนก็ยังมีคลาสพิเศษให้อีกด้วย แล้วแต่เราจะเข้าร่วมเลยค่ะ


รูปมีน้อย เพราะไม่ค่อยได้ถ่าย แล้วก็มีปัญหาในการเอารูปลงแม้คบุ๊คด้วย 
หากใครอยากติดตามรูปแบบReal time ก็ไปตามในไอจีได้นะคะ
@bbing.memoirs

เดี๋ยวขอตัวไปเขียนรีวิวเที่ยวเจจูต่อ ขับรถเที่ยวเอง สามคืนสี่วัน 
แล้วจะมาอัพเดตกันอีกทีค่ะ ^^

bbing
Sun, 24 July 2016


วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

한국에서 어떻게 빨래해요? อยู่เกาหลีซักผ้ายังไง? กับ วิธีเอาตัวรอดจากเครื่องซักผ้าเกาหลี 😂

วิธีเอาตัวรอดจากเครื่องซักผ้าเกาหลี

เครื่องซักผ้าเกาหลี... เป็นภาษาเกาหลีหมดเลยจ้าา
เชื่อว่าใครมาเกาหลีใหม่ๆอาจจะมีปัญหากับการใช้เครื่องซักผ้าใช่หรือไม่ ㅋㅋㅋ
ถึงแม้จะเรียนเกาหลีมาได้ซักพักแล้ว แต่ในคลาสก็ไม่เคยสอนเกี่ยวกับการซักผ้าสักหน่อย

บางคนอาจจะศึกษามาแล้ว แต่สำหรับเราคือช่วงเดือนแรก หมุนมาแต่표준 หรือมาตรฐาน ซึ่ง555 มันแรงมากกกกก(น่าจะแล้วแต่ยี่ห้อ) และทำให้ผ้ายับ แบบรับไม่ได้ สะบัดก็แล้ว รีดก็แล้ว มันก็ยังยับอยู่... เราเลยคิดว่ามันอาจจะมาจากเครื่องซักผ้าก็เป็นได้

ประจวบกับจู่ๆเครื่องซักผ้าที่หอเสียดังแปลกๆไปสองสามที ตอนแรกก็นึกว่าไม่มีอะไร เรียกช่างมาซ่อมเดี๋ยวก็หาย นี่ไม่หายค่ะ... กลุ้มไปใจไปอยู่หลายวัน หมกผ้าไปอีกเป็นอาทิตย์ สุดท้าย ซ่อมสองรอบไม่ผ่าน เจ้าของหอเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้คะ (ซึ้งน้ำตาไหลพราก)

ก่อนที่จะเปลี่ยนเครื่องใหม่ก็คิดแล้วแหล่ะว่าถ้าซ่อมได้ คงจะต้องรื้อวิธีซักผ้าใหม่ จะมากดแต่มาตรฐานแบบเดิมๆไม่ได้ เสื้อผ้าเสียหายหมด

วันนี้หลังจากอยู่เกาหลีมาได้หนึ่งเดือนกว่าๆ ตลอดหนึ่งเดือน มันไม่ง่ายเลยกับเครื่องซักผ้าเกาหลี
หลังจากการลองผิดลองถูกและถามเพื่อนเกาหลีมาแล้วว วันนี้ก็ได้คำตอบ
เพราะพอได้เครื่องใหม่มาก็เลยจัดการ ถามเพื่อนผู้เชี่ยวชาญในการซักผ้า555 ว่าปุ่มไหนไว้ทำอะไร
อาจจะถูกไม่ถูกบ้าง บอกกล่าวกันได้นะคะ แต่เอาคร่าวๆที่เราเข้าใจนะคะ


세탁기 (เซ ทัก กี) เครื่องซักผ้า 





อย่างแรกเลย คือปุ่มเปิดเครื่อง전원
ปุ่มมาตรฐานเลยคือซักแบบมาตรฐาน 표준/삶음

절전삶음 ซักน้ำร้อน (ต้องเป็นผ้าที่ทนความร้อนได้)
합섬 ผ้าไนลอน
란제리 อันนี้เขาบอกเอาไว้ซักชั้นใน
울 วูล
손세탁 ซักมือ
급속ซักเร็ว
이불 พวกผ้าห่ม ผ้านวม
유아복 เสื้อผ้าเด็ก

เลือกเสร็จก็กดstartได้เลย 동작
ถ้าอยากจะหยุดให้กดอันเดิม일시정지


ศัพท์อื่นๆ
헹굼 ล้างน้ำ
강 Strong
탈수 ปั่นแห้ง
물온도 อุณหภูมิน้ำ
예약 ตั้งเวลาซัก
냉수 น้ำเย็น


พอเอาตัวรอดกันไหม😂 พอเปลี่ยนเครื่องเปลี่ยนวิธีซักแล้ว เสื้อเราก็ยับน้อยลง ถือว่าคุ้มค่ากับการศึกษา 5555

ถ้าอันไหนผิดอะไรยังไง บอกให้แก้ไขได้เลยนะคะ 😘



bbing.memiors

07 July 2016